สังคมปัจจุบันและในอีก 10 ปีข้างหน้าต่อไปจะเป็นยุคของผู้สูงอายุ สังคมไทยจะมีคนสูงวัยเพิ่มขึ้นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คาดการณ์กันกว่าในปี 2568 จะมีผู้สูงอายุกว่า 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด เรียกได้ว่าหากเดินเจอคนทั้งหมด 5 คน จะต้องเจอผู้สูงอายุ 1 คน ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ขององค์การสหประชาชาติ (United Nations) ว่าสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์จะมีผู้สูงอายุมากกว่า 14% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่ในประเทศไทยที่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นกับแทบทุกประเทศทั่วโลก
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเมื่อย้อนกลับไปดูสังคมไทยมื่อสัก 60-70 ปีที่แล้วจะพบว่ายุคนั้นถูกเรียกว่ายุค “เบบี้บูม” ประเทศสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกมากขึ้น เนื่องจากภาวะหลังสงครามส่งผลให้แต่ละชาติสูญเสียประชากรไปมาก และขาดแคลนผู้ที่จะมาพัฒนาประเทศอย่างต่อไปในอนาคต ประกอบกับความรู้เรื่องการคุมกำเนิดในยุคนั้นก็ยังไม่มากเช่นในสมัยนี้ จึงไม่ใช่ภาพแปลกหากจะเห็นว่าในยุคสมัยนั้นผู้คนยังมีลูกจำนวนมาก อาจมากถึง 10 คน และเด็กที่เกิดในยุคนั้นก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เวลาผ่านไปจึงกลายเป็นผู้สูงอายุพร้อมๆกัน เป็นส่วนสำคัญให้สังคมไทยเป็นสังคมของผู้สูงอายุ
และผลกระทบที่สำคัญที่มาพร้อมกับสังคมผู้สูงอายุนั่นก็คือปัญหาเรื่องสุขภาพซึ่งก็เป็นไปตามวัยของผู้สูงอายุที่มักจะป่วยออดๆแอดๆไปจนถึงป่วยหนักและยากที่จะดูแลตัวเองได้ ซึ่งโรคที่พบมากได้แก่โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคข้อเข่าเสื่อม ลูกหลานที่ปรารถนาดีก็อยากที่จะดูแลพ่อแม่ให้ได้เต็มที่ที่สุด แต่ก็ต้องอยู่บนความเข้าใจว่าการดูแลผู้สูงอายุนั้นเป็นเรื่องยากและเครียดต้องอาศัยความรู้เชิงสุขภาพและความใจเย็นเป็นอย่างมากซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสามารถทำได้
หลายคนต้องการที่จะหาตัวช่วยในส่วนนี้ แต่ก็มักจะติดภาพบ้านพักคนชราที่เคยเห็นตามละคร หรือในโทรทัศน์ กลัวว่าพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ของคนจะมีความเป็นอยู่ที่ลำบาก แต่ปัจจุบันมีสถานบริการที่รับดูแลผู้สูงอายุที่แตกต่างจากภาพที่หลายๆคนคิดไว้ซึ่งประกอบไปด้วยแพทย์ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับผู้สูงอายุ และมีจิตวิทยาในการอยู่กับผู้สูงอายุ รู้ว่าควรที่จะรับมืออย่างไร จะสามารถสร้างความสุขให้ผู้สูงอายุได้อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องสุขภาพ เนื่องจากเป็นแพทย์เฉพาะทางจึงมีความรู้เกี่ยวกับโรคต่างๆของผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี และมีความอบอุ่นเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
